news
สภาดิจิทัลฯ ผนึกกำลัง แพทยสภา ลงนาม MOU พัฒนาหลักสูตรและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในด้านการแพทย์และสุขภาพ ยกระดับขีดความสามารถวงการแพทย์ไทยที่ยั่งยืน
8 Sep 2025
8 กันยายน 2568 - “สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT)” นำโดย ม.ร.ว. นงคราญ ชมพูนุท ประธานสภาดิจิทัลฯ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความมือ (MOU) กับ “แพทยสภา” นำโดย ศ.เกียรติคุณ พญ. สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา โดยมี พล.อ.อ.นพ. อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา และ ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลฯ เป็นพยาน ในพิธีลงนามความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในด้านการแพทย์และสุขภาพ โดยจะร่วมมือกันพัฒนาหลักสูตรที่เชื่อมโยง เพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในด้านการแพทย์และสุขภาพ โดยมี นางสาวอรดา วงศ์อำไพวิทย์ ผู้ช่วยประธานและหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย สภาดิจิทัลฯ เป็นผู้ดำเนินรายการ ณ ชั้น 6 ห้อง Auditorium ทรู ดิจิทัล พาร์ค (East)ม.ร.ว. นงคราญ ชมพูนุท ประธานสภาดิจิทัลฯ กล่าวว่า การลงนาม MOU ระหว่างสภาดิจิทัลฯ และแพทยสภา ถือเป็นก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในวงการแพทย์และสาธารณสุขของไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับระบบสุขภาพให้ก้าวหน้าและยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือนี้ สภาดิจิทัลฯ จะมีบทบาทในการให้คำปรึกษา ถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ จัดอบรมและสัมมนาเสริมทักษะดิจิทัลแก่บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการในยุคใหม่ การผนึกกำลังครั้งนี้ถือเป็นการร่วมมือที่สำคัญระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่สังคมศ.เกียรติคุณ พญ. สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา กล่าวว่า เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะวงการแพทย์ที่ต้องนำมาใช้ในการพัฒนาองค์ความรู้ การวิจัย และนวัตกรรม ด้วยเหตุนี้ แพทยสภาและสภาดิจิทัลฯ จึงเห็นพ้องต้องกันถึงความจำเป็นในการยกระดับทักษะดิจิทัลของบุคลากรทางการแพทย์ และได้ร่วมกันลงนาม MOU เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขไทยให้ก้าวทันยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพพล.อ.อ.นพ. อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างแพทยสภาและสภาดิจิทัลฯ ถือเป็นพลังสำคัญที่พลิกโฉมวงการแพทย์ไทย โดยความร่วมมือครั้งนี้ต่อยอดจากช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ทั้งสององค์กรได้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สนับสนุนทีมแพทย์ในโรงพยาบาลสนาม ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าดิจิทัลมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยและช่วยลดความเสี่ยงให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ด้วยเหตุนี้ การลงนาม MOU ในครั้งนี้ จึงมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีมาผสานเข้ากับระบบสาธารณสุขไทย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร ยกระดับมาตรฐาน และสร้างความยั่งยืนให้กับวิชาชีพแพทย์ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนทุกคนภายในงานบันทึกข้อตกลง ได้จัดงานเสวนา หัวข้อ “Next Health Thailand ร่วมสร้างอนาคตการแพทย์และสุขภาพดิจิทัลที่ยั่งยืน” โดยได้รับเกียรติจาก นพ. ธนกฤต จินตวร ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา นพ. อนุวัติ สุขสมานพาณิชย์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา นายลักษมณ์ เตชะวันชัย รองประธานสภาดิจิทัลฯ นางเขมนรินทร์ รัตนาอัมพวัลย์ รองประธานสภาดิจิทัลฯ นายพงษ์ชัย เพชรสังหาร ประธานสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย เข้าร่วมเสวนา สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของวงการแพทย์ไทยสู่ระดับโลก และความร่วมมือกันของ สภาดิจิทัลฯ และ แพทยสภา จะช่วยพัฒนาสังคมลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์และสุขภาพนพ. ธนกฤต จินตวร ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับโลก แต่ยังมีความท้าทายในการเข้าถึงบริการในพื้นที่ห่างไกลและการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วย โดยเน้นย้ำถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI, Big Data, Telemedicine และแพลตฟอร์มสุขภาพ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและลดข้อจำกัดด้านบุคลากรและอุปกรณ์ทางการแพทย์ นอกจากนี้ การออกแบบระบบจะต้องยึดความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก (Customer-Centric) และอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการแพทย์ดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศไทยในเวทีโลกนพ. อนุวัติ สุขสมานพาณิชย์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า บริการทางการแพทย์ของไทยกำลังเปลี่ยนไป จากเดิมที่ผู้ป่วยต้องเดินทางไปโรงพยาบาลและใช้เวลานาน มาสู่ระบบที่สะดวกและรวดเร็วขึ้น สามารถให้บริการได้ตั้งแต่ที่บ้าน ทั้งการปรึกษาแพทย์และจัดส่งยา โดยมีปัจจัยที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ 1) คนและวัฒนธรรม ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการต้องมีความรู้ด้านดิจิทัล 2) การปรับกระบวนการ ให้เข้ากับเทคโนโลยีและลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และ 3) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การจะสร้างระบบนิเวศสุขภาพดิจิทัลที่ยั่งยืน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานนโยบาย แพทย์ ประชาชน และแหล่งทุน เพื่อร่วมกันออกแบบ แชร์ข้อมูลและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้จริงและสร้างความยั่งยืนของระบบสุขภาพดิจิทัลในอนาคตนายลักษมณ์ เตชะวันชัย รองประธานสภาดิจิทัลฯ กล่าวถึงความท้าทายของระบบสาธารณสุขไทยที่ยังขาดแคลนบุคลากรและมีการกระจายตัวที่ไม่เท่าเทียม ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูง โดยชี้ว่าทางออกคือการขยายบริการดิจิทัล เช่น Telemedicine และการใช้ AI เพื่อช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยของแพทย์ โดยยกตัวอย่างความสำเร็จจากความร่วมมือระหว่างสภาดิจิทัลฯ และมูลนิธิตะวันฉายในการติดตามและรักษาเด็กในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาได้ การสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่ยั่งยืนและเข้าถึงได้ทุกพื้นที่จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ แพทย์ ประชาชน และแหล่งทุน เพื่อสร้างระบบสุขภาพดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืนนางเขมนรินทร์ รัตนาอัมพวัลย์ รองประธานสภาดิจิทัลฯ กล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลในการสนับสนุนระบบสุขภาพ โดยชี้ว่าปัญหาที่สำคัญคือการเผยแพร่องค์ความรู้ทางการแพทย์ที่ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชายขอบที่ขาดแคลนบุคลากร ดังนั้น ดิจิทัลจึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการพัฒนาทักษะบุคลากรและเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลความรู้ให้กับประชาชนในวงกว้าง นอกจากนี้ สภาดิจิทัลฯ ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นองค์กรกลางที่เชื่อมโยงภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อผลักดันนโยบายและกฎหมายที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งกระจายความรู้และทักษะทางการแพทย์ให้เข้าถึงทุกกลุ่ม ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างประโยชน์ให้กับสังคมโดยรวมนายพงษ์ชัย เพชรสังหาร ประธานสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการ Health Startup กว่า 99 บริษัท ได้รวมตัวกันเพื่อสร้างสังคม Digital Health โดยมีเป้าหมายหลักในการแก้ไขปัญหาสังคมผู้สูงอายุและความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุข ทั้งนี้ การใช้เทคโนโลยี Digital Health และ AI ได้ช่วยพัฒนาบริการทางการแพทย์ เช่น การอ่านฟิล์มเอกซเรย์ การตรวจโรคตาเบาหวาน และแพลตฟอร์มจัดการวัคซีน เป็นต้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Health Tech ในการยกระดับคุณภาพชีวิตและมอบโอกาสในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมนางสาวอรดา วงศ์อำไพวิทย์ ผู้ช่วยประธานและหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย สภาดิจิทัลฯ กล่าวว่า ตลาด Digital Health ทั่วโลกและในไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยหลักมาจากการใช้งานสมาร์ทโฟนและแอปสุขภาพ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง AI, Telemedicine, Blockchain และการใช้โดรนส่งยาในพื้นที่ห่างไกล สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า Digital Health กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของประชาชน และเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้ยั่งยืนการลงนามความร่วมมือระหว่างสภาดิจิทัลฯ และแพทยสภาในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่ผสานพลังความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ากับศักยภาพทางการแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับขีดความสามารถของวงการแพทย์ไทย ที่สร้างประโยชน์สู่สังคมอย่างยั่งยืนต่อไป